
ปักหมุด 5 พิกัด ที่เที่ยวลาวเหนือ สายรักธรรมชาติไม่ไปไม่ได้แล้ว!
ลาวประเทศเพื่อนบ้านของไทย มีชื่อเสียงโดดเด่น ด้านแหล่งท่องเที่ยว ทางธรรมชาติ ที่อุดมสมบูรณ์ และวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่น่าไปสัมผัส โดยเฉพาะลาวเหนือ ที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยว ยอดนิยมมากมาย สำหรับใครที่อยากจะเดินทางไปเยือน ต้องห้ามพลาดทั้ง 5 พิกัด ที่เรานำมาฝาก!
1. เมืองหนองเขียว (Nong Khiaw)
ใช้เวลาเดินทาง จากหลวงพระบาง ประมาณ 4 ชั่วโมง ก็จะพบกับเมืองเล็ก ๆ ติดลำน้ำอู ที่ถูกโอบล้อม ไปด้วยภูเขาหินปูน ในบรรยากาศเขียวขจี เหมาะกับนักเดินทาง สายรักธรรมชาติอย่างแท้จริง
โดยไฮไลต์เด็ด ที่ต้องห้ามพลาด คือการขึ้นไปชมเมืองหนองเขียว แบบ 360 องศา บนจุดชมวิวหนองเขียว จะพบกับภาพความงดงามอันน่าประทับใจ ทั้งสายน้ำคดเคี้ยว โอบล้อมภูเขาสูง และสายหมอกใต้ก้อนเมฆ
ที่พักส่วนใหญ่ของที่นี่ จะเป็นบังกะโลไม้ หรือกระท่อมไม้ ราคาไม่แพง แต่ได้ดื่มด่ำกับวิวหลักล้าน มองเห็นวิวของแม่น้ำ และท้องฟ้าใส ได้จากระเบียงห้อง ถ้าอยากจะทำกิจกรรม สร้างความคึกคัก ก็มีให้เลือกหลากหลายแนว ได้แก่ ล่องเรือ พายเรือคายัก ปีนผา ปั่นจักรยาน ชมถ้ำ หรือแม้แต่การเดินเท้า สำรวจธรรมชาติรอบ ๆ ก็เพลิดเพลินไม่ใช่น้อย
2. หลวงน้ำทา (Luang Namtha)

หลวงน้ำทา เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือตอนบนของลาว ติดกับเมียนมาและจีน มีภูมิประเทศ เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน เป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขาเผ่ามากถึง 39 ชนเผ่า ได้แก่ ม้ง ขมุ ไทเหนือ ไทดำ ไทแดง ไทขาว ไทยวน ไทลื้อ ฯลฯ โดยแต่ละกลุ่ม ต่างก็มีภาษา วัฒนธรรม และวิถีชีวิต ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ดึงดูด ให้ผู้เดินทางมาเยือน ได้มาเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
ผู้คนส่วนใหญ่ในหลวงน้ำทา ยังคงใช้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ทำการเกษตรเป็นอาชีพหลัก บรรยากาศจึงค่อนข้างเงียบสงบ เหมาะสำหรับการมาท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยเฉพาะการเดินป่า หรือปั่นจักรยาน ชมหมู่บ้านชาวเขา
ด้วยภูมิประเทศ ที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาและลำธาร ทำให้มีสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม และมกราคม อุณหภูมิสามารถลดต่ำลงเหลือ 0 องศาเซลเซียส เลยทีเดียว
3. เมืองงอย (Muang Ngoi)
เมืองงอยตั้งอยู่ห่างจาก หลวงพระบาง ประมาณ 135 กิโลเมตร ในอดีตการเดินทางมาที่นี่ จะต้องนั่งเรือมาเท่านั้น เพราะไม่มีถนนเข้าถึง โดยต้องนั่งรถจากหลวงพระบาง ไปลงที่เมืองหนองเขียว แล้วล่องเรือมาตามลำน้ำอู แต่ปัจจุบัน มีการก่อสร้างถนนตัดผ่าน ทำให้สามารถนั่งรถบัส จากหลวงพระบาง มาถึงเมืองงอยได้แล้ว โดยจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง
กิจกรรมท่องเที่ยวของที่นี่ จะเน้นให้นักท่องเที่ยว ใช้ชีวิตให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น การเดินป่า ปีนเขา สำรวจถ้ำ ล่องเรือ และสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้าน ด้วยที่พักแบบโฮมสเตย์
ด้วยภูมิประเทศ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา ในช่วงหน้าฝนจนถึงหน้าหนาว ทั้งเมืองจึงถูกปกคลุม ไปด้วยเมฆหมอกตลอดทั้งวัน ทำให้บรรยากาศงดงามราวกับภาพวาด เหมาะแก่การปลีกวิเวก หลีกหนีจากความวุ่นวาย มาใช้เวลาดื่มด่ำกับธรรมชาติอันแสนสงบ
4. เมืองเฟือง (Mueang Feuang)
เมืองที่กำลังเป็นกระแสอย่างต่อเนื่อง ตั้งอยู่ห่างจาก นครหลวงเวียงจันทน์ ประมาณ 100 กิโลเมตร ด้วยภูมิประเทศที่โอบล้อม ด้วยภูเขาหินปูนสูง ตัดกับทุ่งนาเขียวขจี และแม่น้ำไหลเย็น จึงดึดดูดให้นักท่องเที่ยว ที่รักธรรมชาติ และความเงียบสงบ พากันเดินทางมาเยือน อย่างไม่ขาดสาย
ที่นี่ผู้คนส่วนใหญ่ ยังคงใช้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ด้วยการทำเกษตรกรรม ทำไร่ ทำนา สวนยางพารา และประมงพื้นบ้าน ทำให้กิจกรรมการท่องเที่ยวในเมืองเฟือง จะเป็นในเชิงอนุรักษ์ เน้นความเรียบง่าย สโลว์ไลฟ์ ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ ความงดงามของธรรมชาติ
โดยไฮไลต์ของการมาเยือนเมืองเฟือง ที่ไม่ควรพลาด คือการพักบนแพติดริมน้ำ และตักบาตรในตอนเช้า โดยพระสงฆ์จะพายเรือออกมารับบิณฑบาต ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่น่าลองไปสัมผัสดูสักครั้ง
5. แขวงพงสาลี (Phongsali Province)
ดินแดนเหนือสุดแห่งเมืองลาว มีพรมแดนติดกับ เวียดนามและจีน ลักษณะภูมิประเทศ เป็นภูเขา และที่ราบสูงพูฟ้า ซึ่งมีความสูง 1,400 เมตร จึงเกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงาม จนได้รับการขนานนาม ในหมู่นักท่องเที่ยว ว่าการมาเยือนที่นี่ เหมือนกับได้ไปทั้งจีน และเวียดนาม ในเวลาเดียวกัน
ในอดีต สมัยที่ยังเป็น อาณานิคมของฝรั่งเศส ด้วยชัยภูมิที่อยู่กึ่งกลาง ระหว่างจีนกับเวียดนาม ทำให้เมืองแห่งนี้ ถูกใช้เป็นที่ตั้งค่ายทหาร จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ภายในตัวเมือง จึงมีอาคารแบบฝรั่งเศส หลงเหลือให้เห็นอยู่นั่นเอง
นอกจากความงดงาม ทางธรรมชาติแล้ว ที่นี่ยังเป็นแขวง ที่มีความหลากหลาย ทางเชื้อชาติมากที่สุด แขวงหนึ่งของลาวก็ว่าได้ เพราะประกอบไป ด้วยชาติพันธุ์ต่าง ๆ มากกว่า 20 เผ่า ได้แก่ ขมุ ม้ง อาข่า เย้า ชาวไท รวมถึงเวียดนาม และจีน ดังนั้นการท่องเที่ยวหลัก ๆ ในพงสาลี จึงเป็นการเดินป่า เยี่ยมชมหมู่บ้านชาวเขา ในเผ่าต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิต และวัฒนธรรมใหม่ ๆ ที่ไม่เคยพบเห็นนั่นเอง